102
ผลการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า บอระเพ็ดสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยภาวะอ้วนลงพุงที่รับประทานแคปซูลผงบอระเพ็ด ขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือยาหลอกเป็นเวลา 2 เดือน ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มทดลองก่อนรับประทานบอระเพ็ด ทว่าการทดลองเรื่องบอระเพ็ดลดน้ำตาลในเลือดจำเป็นต้องศึกษาลึกไปกว่านี้เพื่อความชัดเจนและถูกต้องของข้อมูล
ขายแล้ว 27 ชิ้น
002
น้ำมันเทียนดำบริสุทธิ์ (ฮับบะฮฺตุสเซาดาอฺ) คุณประโยชน์มีดังนี้ 1. ท้องเสียและถ่ายท้อง: คั้นน้ำผักขม ผสมกับเทียนดำป่น ดื่มวัน3ครั้งเมื่อหายแล้วหยุดดื่ม 2. ไอและหอบ: เทียนดำป่นผสมน้ำผึ้ง รับประทานเมื่อเริ่มจะมีอาการกำเริบ 1-2 ช้อนโต๊ะ 3. โรคผิวหนัง: น้ำมันเทียนดำครึ่งช้อนชา น้ำมันดอกกุลาบครึ่งช้อนชา แป้งสาลี 1 ช้อนชา ผสมแป้งนวดจนเป็นก้อน นำน้ำส้มสายชูเจือจาง 1 ช้อนชา ทาบริเวณที่เป็น และเอาแป้งที่นวดวางบริเวณที่เป็น 4. สิว: เทียนดำป่นหนึ่งส่วน, เปลือกทับทิมป่นครึ่งส่วน, น้ำส้มสายชูแอปเปิล(น้ำส้มสายชูแท้) หนึ่งส่วน, น้ำมันเทียนดำ, ผสมทุกอย่างตั้งไฟกวนจนเข้ากันดี ทาหัวสิวหรือฝีก่อนนอน 5. ไซนัส: น้ำมันเทียนดำ น้ำมันมะกอก ผสมให้เข้ากันดี หยอดรูจมูก 3 หยดทุกเช้า 15 วัน 6. หวัด: น้ำมะนาว น้ำหัวหอม น้ำมันเทียนดำ ผสมเข้ากันดี หยอดจมูก 2-3 หยด 7. ไข้หวัดใหญ่: เทียนดำป่นหนึ่งช้อนโต๊ะ ชงกับนมสดอุ่น 1 แก้วใหญ่ดื่มตลอดวัน 8. คอและต่อมทอมซิลอักเสบ: เทียนดำครึ่งช้อน, น้ำชาอุ่น, ดื่มน้ำและกลั้วคอด้วยชาผสมน้ำมันเทียนดำ 9. เหงือกและฟันอักเสบ: เทียนดำป่นหนึ่งช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู้แอปเปิลหนึ่งช้อนชา ผสมกันใช้กลั้วคอ และนวดเหงือกด้วยน้ำมันเทียนดำ 10. ปวดหัว: เทียนดำป่น, น้ำมันมะกอก, ผสมกันและคั้นเอาแต่น้ำ หยอดจมูกทั้งสองข้าง 11. ไมแกรน: น้ำมันเทียนดำหยอดหูทันทีที่ปวดหัว พร้อมทั้งเอาน้ำมันนวดท้ายทอยทันทีที่ปวด เอาเม็ดเทียนดำต้มน้ำ ชงกับน้ำผึ้งดื่ม 12. ปวดหลัง: เทียนดำป่นหนึ่งกิโลกรัม น้ำผึ้ง 150 กรัม ผสมเข้ากัน รับประทานสองครั้ง ครั้งละหนึ่ง ช้อนโต๊ะ เช้าและเย็นหลังอาหารหนึ่งชั่วโมง เป็นเวลา10 วัน (ห้ามเว้นเด็ดขาด) 13. ประสาทเครียดหรือกังวลใจ: นมสดอุ่น น้ำมันเทียนดำห้าหยด น้ำผึ้ง ชงทานเมื่อมีอาการ 14. โรคปวดตามข้อ: เม็ดเทียนดำป่น, น้ำมันเทียนดำ, น้ำผึ้ง, เอาเม็ดเทียนดำต้มน้ำจนเดือดสักครู่ เทใส่แก้ว หยดน้ำมันเทียนดำใส่ชงด้วยน้ำผึ้งดื่ม 15. กระตุ้นสมอง: น้ำมันเทียนดำ, สะระแหน่, น้ำผึ้ง, ต้มสะระแหน่ หยดน้ำมัน 7 หยด ชงด้วยน้ำผึ้งดื่ม 16 ความจำดี: สะระแหน่ป่นหนึ่งแก้ว, เทียนดำป่นหนึ่งแก้ว, ยีสต์เม็ดแห้งหนึ่งช้อนโต๊ะ, ขิงป่นหนึ่งช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง, ทั้งหมดผสมให้เข้ากันดี บรรจุขวดแก้ว ทานหนึ่งช้อนทุกๆเช้า * ข้อมูลทั้งหมดนำมาจากวารสารของสมาคมนักเรียนไทย ณ.กรุงไคโร ที่มา: http://www.moradokislam.org
ขายแล้ว 252 ชิ้น
153
ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma caesia Roxb. สำหรับชาวต่างชาติคือ black turmeric ซึ่งถ้าแปลเป็นไทยคือขมิ้นดำแต่คนไทยส่วนใหญ่จะเรียกขมิ้นดำเป็นอีกชื่อของว่านมหาเมฆที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ที่ต่างกัน ถ้าหากลูกค้าสนใจสั่งซื้อขอให้อ้างอิงกับชื่อวิทยาศาสตร์เพื่อป้องกันการสับสน
ขายแล้ว 4 ชิ้น
094
ใช้น้ำมันงาประกอบอาหารรับประทานเป็นประจำ จะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว หลอดเลือดหัวใจตีบตัน และอาการท้องผูก น้ำมันงา ใช้ลดการหมักหมมในช่องท้อง โดยทานน้ำมันงาดิบ ๆ 1 ถึง 2 ช้อนโต๊ะ ขณะท้องว่าง เพื่อให้ลำไส้ขับสิ่งที่หมักหมมอยู่ออกไป น้ำมันงา ใช้ทาผมจะทำให้ผมดำเป็นมันวาว ไม่แห้งแตกปลาย และใช้ทาผิว เพื่อให้ความชุ่มชื้น ลดรอยหยาบกร้าน ช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง น้ำมันงาใส่ขิง ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย โดยใช้ขิงสดขูดละเอียดผสมกับน้ำมันงาในปริมาณเท่ากัน จุ่มผ้าฝ้ายลงในส่วนผสมนี้ นำมาถูนวดบริเวณที่ปวดเมื่อย ใช้กระเทียมสับผสมน้ำมันงา รักษาโรคผิวหนังอย่างกลาก เกลื้อน เรื้อนกวาง ทาบริเวณที่มีอาการ
ขายแล้ว 57 ชิ้น
130
ผลส้มแขกมีรสเปรี้ยว นิยมนำมาปรุงอาหาร เช่น แกงส้ม แกงเลียง ต้มเนื้อ ต้มปลา เพื่อให้มีรสเปรี้ยว หรือใช้ทำน้ำแกงขนมจีน ทำเป็นเครื่องดื่มลดความอ้วน โดยการรับประทานส้มแขกในระยะแรกอาจจะทำให้รู้สึกหิวบ่อยมากขึ้น เนื่องจากไปเร่งระบบการเผาผลาญอาหาร โดยร่างกายจะค่อย ๆ ปรับตัวไปเอง ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 อาทิตย์ ระหว่างนี้ก็ให้ดื่มน้ำมาก ๆ หากรับประทานไปนาน ๆ ก็จะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกไม่หิวได้ และเมื่อหยุดรับประทานส้มแขก ร่างกายจึงไม่กลับมาอ้วนอีกแน่นอน และที่สำคัญก็คือไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ประเมินผลและพบว่า ไม่มีการเปลี่ยนของหน้าที่ของตับและไต รวมไปถึงระดับน้ำตาลในเลือดและความดันเลือดก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ขายแล้ว 9 ชิ้น
087
ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ “เสินหนงเปินเฉ่า” ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่ที่สุดของจีน ใช้บำรุงร่างกายใช้เป็นยาอายุวัฒนะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังสามารถรักษาโรคได้อย่างกว้างขวาง
ขายแล้ว 28 ชิ้น
054
สินค้าไทย ใช้มะพร้าวไทย ด้วยวิธีสกัดเย็นจากกลุ่มแม่บ้านผู้ผลิตน้ำมันมะพร้าว ไม่แต่งสีกลิ่นรส
ขายแล้ว 136 ชิ้น
053
สินค้าไทย ใช้มะพร้าวไทย ด้วยวิธีสกัดเย็นจากกลุ่มแม่บ้านผู้ผลิตน้ำมันมะพร้าว ไม่แต่งสีกลิ่นรส
ขายแล้ว 40 ชิ้น
081
ผลิตเองจากเมล็ดเทียนดำเต็มเมล็ด 100% ไม่ใช่กากที่ได้จากการบีบน้ำมัน ไม่ใช่สารสกัด ไม่ละลายน้ำ
ขายแล้ว 34 ชิ้น
074
สินค้าผลิตตามสั่ง ผลิตจากใบบัวบกผง100% ดูแลการผลิตโดยเภสัชกรแผนไทย
ขายแล้ว 11 ชิ้น
045
ผลิตจากเมล็ดมะรุมคัดเฉพาะเมล็ดแก่ สินค้าภายในประเทศ เป็นน้ำมันบีบเย็นที่ทางร้านผลิตเอง ไม่มีส่วนผสมใดๆ ไม่มีการแต่งสีและกลิ่น น้ำมันมีอายุ 1ปีหลังการเปิดใช้
ขายแล้ว 72 ชิ้น
013
ตำรายาไทย: มีการใช้กานพลูในหลายตำรับ ตัวอย่างเช่น ใน ”พิกัดตรีพิษจักร” คือการจำกัดจำนวนตัวยาที่มีรสซึมซาบไวดังกงจักร 3 อย่าง มี ผลผักชีล้อม ผลจันทน์เทศ และกานพลู สรรพคุณแก้ลม แก้พิษเลือด แก้ธาตุพิการ บำรุงโลหิต ”พิกัดตรีคันธวาต” คือการจำกัดจำนวนตัวยาที่มีกลิ่นหอมแก้ลม 3 อย่าง มี ผลเร่วใหญ่ ผลจันทน์เทศ และกานพลู มีสรรพคุณ แก้ธาตุพิการ แก้ไข้อันเกิดแต่ดี แก้จุกเสียด
ขายแล้ว 36 ชิ้น
079
หญ้าหวาน หรือ สตีเวีย (Stevia rebaudiana Bertoni) มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ เป็นพืชที่มีคุณสมบัติเป็นรสหวานที่ไม่ก่อให้เกิดพลังงาน ชาวพื้นเมืองจึงนิยมใช้หญ้าหวานเพื่อเป็นสารชูรสในอาหารต่างๆ ซึ่งสารหวานที่มีมากที่สุดจากหญ้าหวาน คือ สตีวิโอไซด์ (stevioside) ซึ่งมีความหวานประมาณ 300 เท่าของน้ำตาลซูโครส แต่ไม่ให้พลังงานจึงนำมาใช้เป็นสารทดแทนการบริโภคน้ำตาลในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน และผู้ที่ต้องการดูแลรักษาสุขภาพ
ขายแล้ว 18 ชิ้น
086
ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ “เสินหนงเปินเฉ่า” ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่ที่สุดของจีน ใช้บำรุงร่างกายใช้เป็นยาอายุวัฒนะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังสามารถรักษาโรคได้อย่างกว้างขวาง
ขายแล้ว 76 ชิ้น
164
สินค้าผลิตภายในประเทศ จากเมล็ดฟักทองดิบนำมาทำความสะอาดและสกัดเย็น เมล็ดฟักทองมีประโยชน์ไม่เพียง แต่สำหรับสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตใจของมนุษย์ด้วย มีผลการวิจัยใช้น้ำมันเมล็ดฟักทองช่วยกำจัดภาวะซึมเศร้า อย่างไรก็ตามน้ำมันเมล็ดฟักทองควรบริโภคหลังอาหาร
ขายแล้ว 8 ชิ้น
100
ระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น คาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน โฟเลต แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี อยู่ในปริมาณพอสมควร ที่สำคัญกระเจี๊ยบเขียวมีกลูตาไธโอน (glutathione) มีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมสารอนุมูลอิสระในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซมเซลล์ ทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกาย และช่วยต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันนิยมใช้สารนี้เพื่อให้ผิวขาวขึ้น เพราะกลูตาไธโอนสามารถกดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีได้ชั่วคราว นอกจากนี้ กระเจี๊ยบเขียวยังเต็มไปด้วยเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งเป็นส่วนของพืชผักที่ร่างกายย่อยไม่ได้ และเส้นใยที่ละลายน้ำได้ เช่น เพกทิน (pectin) และเมือก (mucilage) ซึ่งเกิดจากสารประกอบ acetyated acidic polysaccharide และกรดกาแล็กทูโลนิก (galactulonic caid) สารเมือกหรือเส้นใยที่ละลายน้ำได้ของกระเจี๊ยบเขียว เมื่อลงสู่ลำไส้ใหญ่ จะช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ (พรีไบโอติกแบคทีเรีย) ซึ่งจะช่วยลดปราณพิษที่ผลิตจากแบคทีเรียที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย กระเจี๊ยบเขียวจึงจัดเป็นผักสุขภาพสำหรับผู้ป่วยมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง
ขายแล้ว 66 ชิ้น